ดาวฤกษ์
6.1 วิวัฒนาการของฤกษ์
เกิดจากมวลสารระหว่างดาว
คือกลุ่มก๊าซและฝุ่นขนาดมหึมารวมกลุ่มกัน เกิดยุบตัวด้วยแรงอัดทุกทิศทุกทางเข้าสู่ศูนย์กลางด้วยแรงโน้มถ่วงของมวลสาร
จนเกิดการอัดตัวเล็กลงและยุบตัวลงเรื่อย ๆ
ดวงอาทิตย์เมื่อเริ่มเกิดจะมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบัน 50 เท่า สว่างกว่า 500 เท่า
ต่อมามาเกิดยุบตัวและอัดตัวแน่นเพิ่มขึ้นทำให้ใจกลางของดวงอาทิตย์จะร้อนขึ้น 30
ล้านปีต่อมาใจกลางดวงอาทิตย์ร้อนขึ้นถึง 10 ล้านองศาเคลวิน
ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สูงเพียงพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันการเกิดพลังงานภายในดาวฤกษ์พลังงานของดาวฤกษ์จะเกิดที่แกนกลางของดาวฤกษ์เพราะมีอุณหภูมิสูงถึงขั้นเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน
เช่นดวงอาทิตย์มีการเกิดปฏิกิริยาที่ใจกลางของดาวมีอุณหภูมสูงถึง 15
ล้านองศาเคลวิน
การเกิดปกิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันโดยธาตุไฮโดรเจนแตกตัวให้นิวเคลียส คือ
โปรตอรจับตัวกันเป็น โปรตอน-โปรตอน เกิดเป้นธาตุฮีเลียม
การหลอมรวมของธาตุไฮโดรเจนเป็นธาตุฮีเลียมทำให้มวลสารหายไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน
คือมีมวลสารหายไปวินาทีละ 4,000,000 ตัน
การหายไปของเนื้อสารจะทำให้ดวงอาทิตย์เล็กลงและมอดดับลง
แต่ดาวฤกษ์บางดวงจะระเบิดทำลายตัวเองเดียวกันคือเกิดจากมวลสารระหว่างดาวคือกลุ่มก๊าซและฝุ่นขนาดมหึมารวมกลุ่มกันดาวฤกษ์ก็เหมือนกับสรรพสิ่งทั่วไปในเอกภพ
มีการเกิด การคงอยู่ และการแตกดับไปตามการเวลา คือ มีวิวัฒนาการ
ดาวฤกษ์เกิดจากมวลสารระหว่างดวงดาวมารวมกันเกิดแรงอัดตัวเป็นดาวฤกษ์
และเกิดจากการยุบตัวของเนบิวลาแต่จุดจบต่างกันขึ้นอยู่กับมวลสารดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย
ใช้เชื้อเพลิงในอัตราที่น้อย ทำให้มีช่วงชีวิตที่ยาวและจบชีวิตลงโดยไม่มีการระเบิด
พลังงานของดาวฤกษ์เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน
ดาวฤกษ์ เป็นก้อนแก๊สขนาดใหญ่ ทั้งหลายเกิดจากการยุบรวมตัวของเนบิวลา
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า เนบิวลาเป็นแหล่งกำเนิดของดาวฤกษ์ ทุกประเภท
ดาวฤกษ์ทุกดวงมีความเหมือนกันอยู่ 2 อย่าง คือ มีพลังงานในตัวเอง
และเป็นแหล่งกำเนิดธาตุต่าง ๆ เช่น ธาตุฮีเลียม
ลิเทียม เบริลเลียม
นอกจากนั้นดาวฤกษ์ยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของ มวล อุณหภูมิผิวหรือสีหรืออายุ
องค์ประกอบทางเคมี ระยะห่าง ความสว่าง ระบบดาวและวิวัฒนาการ ในเวลาต่อมาเมื่อดาวฤกษ์
เกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์หลอมไฮโดร-เจนเป็นฮีเลี่ยมครั้งใหม่
ทำให้เกิดพลังงานมหาศาล ทำใหดาวฤกษ์ใหญ่กว่าเดิมประมาณ 100 เท่า อุณหภูมิผิวลดลง
สีเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงจนได้ดาวฤกษ์สีแดงขนาดใหญ่ เรียกว่า ดาวยักษ์แดง (red giant)
จุดจบของดาวฤกษ์แต่ละดวงจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับขนาดมวลของดาวฤกษ์นั้น
ๆ ดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย เช่น
ดวงอาทิตย์
มีแสงสว่างไม่มากเชื้อเพลิงในอัตราที่น้อย จึงมีช่วงชีวิตยาว และจบชีวิตลงด้วยการไม่ระเบิด
แต่จะกลายเป็นดาวแคระขาว และกลายเป็นดาวแคระดำ ต่อไป
6.2 กำเนิดและวิวัฒนาการของดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยถึงปานกลางและอยู่ใกล้โลกที่สุด
จึงเป็นดาวฤกษ์ที่นักดาราศาสตร์ศึกษามากที่สุด ดวงอาทิตย์เกิด
จากการยุบรวมตัวของเนบิวลาเมื่อประมาณ 5,000 ล้านปีมาแล้ว
และจะฉายแสงสว่างอยู่ในสภาพสมดุลเช่นทุกวันนี้ต่อไปอีกประมาณ 5,000 ล้านปี
การยุบตัวของเนบิวลา
เกิดจากแรงโน้มถ่วงของเนบิวลาเอง เมื่อแก๊สยุบตัวลง ความดันของแก๊สจะสูงขึ้น
ผลที่ตามมาคือ อุณหภูมิของแก๊สจะสูงขึ้นด้วยนี่คือธรรมชาติของแก๊สในทุกสถานที่
ที่แก่นกลางของเนบิวลาที่ยุบตัวลงนี้ จะมีอุณหภูมิสูงกว่าที่ขอบนอก
เมื่ออุณหภูมิแก่นกลางสูงมากขึ้นเป็นหลายแสนองศาเซลเซียส เรียกช่วงนี้ว่า
ดาวฤกษ์เกิดก่อน (Protostar) เมื่อแรงโน้มถ่วงดึงให้แก๊สยุบตัวลงไปอีก ความดัน
ณ แก่นกลางสูงขึ้น และอุณหภูมิก็สูงขึ้นเป็น 15 ล้านเคลวิน
เป็นอุณหภูมิสูงมากพอที่จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ (thermonuclear
reaction) หลอมนิวเคลียสไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียม
เมื่อเกิดความสมดุลระหว่างแรงโน้มถ่วงกับแรงดันของแก๊สร้อนทำให้ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่สมบูรณ์
พลังงานของดวงอาทิตย์เกิดที่แก่นกลาง
ซึ่งเป็นชั้นในที่สุดของดวงอาทิตย์ เป็นบริเวณที่มีอุณหภูมิและความดันสูงมาก
ทำให้เกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ ที่แก่นกลาง ของดวงอาทิตย์
ซึ่งเกิดจากโปรตอนหรือนิวเคลียสของธาตุไฮโดรเจน 4
นิวเคลียสหลอมไปเป็นนิวเคลียสของธาตุฮีเลียม 1 นิวเคลียส
พร้อมกับเกิดพลังงานจำนวนมหาศาล
จากการเกิดปฏิกิรยาพบว่า
มวลที่หายไปนั้นเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน ซึ่งสามารถคำนวณได้จากสูตร
ความสัมพันธ์ระหว่างมวล (m) และพลังงาน (E) ของไอน์สไตน์
( E = mc2) เมื่อ C คืออัตราความเร็วของแสงสว่างในอวกาศซึงเท่ากับ
300,000 กิโลเมตร/วินาที
นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนว่า
ในอนาคตเมื่อธาตุไฮโดรเจนที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเหลือน้อย
แรงโน้มถ่วงเนื่องจากมวลของดาวฤกษ์สูงกว่าแรงดัน ทำให้ดาวยุบตัวลง
ส่งผลให้แก่นกลางของดาวฤกษ์มีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่าเดิมเป็น 100 ล้านเคลวิน
จนเกิด
ปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์หลอมรวมนิวเคลียสของธาตุฮีเลียมเป็นนิวเคลียสของคาร์บอน
ในขณะเดียวกันไฮโดรเจนที่อยู่รอบนอกแก่นฮีเลียม จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย
เมื่ออุณหภูมิสูงขถึง 15 ล้านเคลวิน จะเกิดปฏิกิริยาเท
อร์โมนิวเคลียร์หลอมไฮโดรเจนเป็นฮีเลียมครั้งใหม่ ผลก็คือ
ได้พลังงานออกมาอย่างมหาศาล ทำให้ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 100 เท่า
ของขนาดปัจจุบัน เมื่อผิวด้านนอกขยายตัว อุณหภูมิผิวจะลดลง
สีจะเปลี่ยนจากเหลืองเป็นแดง ดวงอาทิตย์จึงกลายเป็นดาวฤ กษ์สีแดงขนาดใหญ่มาก
เรียกว่า ดาวยักษ์แดง (redgiant)เป็นช่วงที่พลังงานถูกปลดปล่อยออกจากดวงอาทิตย์ในอัตราสูงมาก
ดวงอาทิตย์จึงมีช่วงชีวิตเป็นดาวยักษ์แดงค่อนข้างสั้น
6.3 ความส่องสว่างและโชติมาตรของดาวฤกษ์
ความส่องสว่าง(brightness)ของดาวฤกษ์ เป็นพลังงานจากดาวฤกษ์ที่ปลดปล่อยออกมาในเวลา 1 วินาทีต่อหน่วยพื้นที่ มีหน่วยเป็นวัตต์ต่อตารางเมตร ค่าการเปรียบเทียบความสว่างของดาวฤกษ์ เรียกว่า อันดับความสว่าง หรือ แมกนิจูด(magnitude) ดาวที่มีค่าโชติมาตรต่างกัน 1 จะมีความสว่างต่างกัน 2.512เท่า ดาวที่มีค่าโชติมาตรน้อยจะมีความสว่างมากกว่าดาวที่มีค่าโชติมาตรมาก
โชติมาตรของดาวฤกษ์ที่สังเกตได้จากโลก เรียกว่า
โชติมาตรปรากฏ(apparent magnitude) นำมาใช้เปรียบเทียบความสว่างที่แท้จริงของดาวฤกษ์ไม่ได้
นักดาราศาสตร์จึงกำหนดโชติมาตรสัมบูรณ์(absolute magnitude) เป็นค่าโชติมมาตรของดาวเมื่อดาวนั้นอยู่ห่างจากโลกเป็นระยะทางเท่ากับ
10 พาร์เซก หรือ 32.62 ปีแสง
นำมาใช้เปรียบเทียบความสว่างของดาวฤกษ์ทั้งหลาย
6.4 สีและอุณหภูมิผิวของดาวฤกษ์
ดาวฤกษ์ที่ปรากฏบนท้องฟ้าจะมีสีต่างกัน
เมื่อศึกษาอุณหภูมิผิวของดาวฤกษ์จะพบว่า
สีของดาวฤกษ์มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิผิวของดาวฤกษ์ด้วย
นักดาราศาสตร์แบ่งชนิดของดาวฤกษ์ตามสีและอุณหภูมิผิวของดาวฤกษ์ได้ 7 ชนิด คือ O
B A F G K และ M แต่ละชนิดจะมีสีและอุณหภูมิผิวดังตารางต่อไปนี้
สีของดาวฤกษ์นอกจากจะบอกอุณหภูมิของดาวฤกษ์แล้ว
ยังสามารถบอกอายุของดาวฤกษ์ด้วย
ดาวฤกษ์ที่มีอายุน้อยจะมีอุณหภูมิที่ผิวสูงและมีสีน้ำเงิน
ส่วนดาวฤกษ์ที่มีอายุมากใกล้ถึงจุดสุดท้ายของชีวิตจะมีสีแดงที่ เรียกว่า
ดาวยักษ์แดง มีอุณหภูมิผิวต่ำ ดาวฤกษ์แต่ละดวงจะมีสิ่งที่เหมือนกัน คือ
องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ธาตุไฮโดรเจน และธาตุฮีเลียม
พลังงานของดาวฤกษ์ทุกดวงเกิดจากปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ที่แก่นกลาง ของดาว
แต่สิ่งที่ต่างกันของดาวฤกษ์ ได้แก่ มวล อุณหภูมิผิว ขนาด อายุ ระยะห่างจากโลก สี
ความสว่าง ธาตุที่เป็นองค์ประกอบ และวิวัฒนาการที่ต่างกัน
6.5 เนบิวลา
แหล่งกำเนิดดาวฤกษ์
เนบิวล่าคือกลุ่มของก๊าซและฝุ่นผงที่รวมตัวกันอยู่ในอวกาศ
เนบิวล่ามาจากภาษาลาติน แปลว่า "เมฆ"
เพราะเมื่อเราใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องดู จะเห็นเป็นฝ้าขาวคล้ายกลุ่มเมฆ
เนบิวล่าเป็นวัตถุหนึ่งในเอกภพที่มีความสำคัญมากๆ
เพราะดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์ล้วนเกิดขึ้น มาจากเนบิวล่าทั้งสิ้น
เนบิวล่าที่เราเห็นนั้นความจริงมีขนาดใหญ่โตมโหราฬมาก
บ้างก็มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 10 ปีแสง
บ้างก็ใหญ่กว่า ระบบสุริยะของเราถึง 10 เท่า เช่นเนบิวล่าสว่าง M42 ในกลุ่มดาวนายพราน
ซึ่งกำลังก่อตัวให้เกิดระบบสุริยะใหม่ สามารถก่อกำเนิดดาวฤกษ์ใหม่ได้นับพันดวง
และเนบิวล่าส่วนใหญ่จะไกลจากเรามากนับ 10 นับ
100 ปีแสง
แต่ไม่ไกลเกินระบบทางช้างเผือกของเรา เพราะเนบิวล่าเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของกาแลกซี่ทางช้างเผือก
|
6.6 ระบบดาวฤกษ์
คือ ดาวฤกษ์กลุ่มเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่โคจรอยู่รอบกันและกัน โดยมีแรงดึงดูดระหว่างกันทำให้จับกลุ่มกันไว้ เช่น ดาวซีรีอัส
ซึ่งเป็นดาวคู่ เป็นระบบดาวฤกษ์ 2 ดวง เคลื่อนรอบซึ่งกันและกันด้วยแรงโน้มถ่วง ดาวแอลฟาเซนเทารี เป็นระบบดาวฤกษ์ 3 ดวง ระบบดาวฤกษ์ที่มีดาวฤกษ์เป็นจำนวนมาก
เราเรียกว่า กระจุกดาว เช่น กระจุกดาวลูกไก่ ซึ่งมีดาวฤกษ์มากกว่าร้อยดวง
กระจุกดาวทรงกลมเอ็ม 13มีดาวฤกษ์มากกว่าแสนดวง
สาเหตุที่เกิดดาวฤกษ์เป็นระบบต่างๆกัน เพราะเนบิวลาเนบิวลาต้นกำเนิดมีปริมาณและขนาดต่างๆกัน
6.7 มวลของดาวฤกษ์
มวลของดาวฤกษ์แต่ละดวงจะแตกต่างกัน
เพราะเนบิวลาที่ก่อกำเนิดเป็นดาวฤกษ์มีมวลไม่เท่ากัน
มวลจึงเป็นสมบัติที่แตกต่างกันของดาวฤกษ์
นักดาราศาสตร์สามารถหามวลของดาวฤกษ์ได้หลายวิธี เช่น
การใช้กฎเคพเลอร์ในการหามวลของดวงอาทิตย์ หรือ จากการสังเกตแสงจากดาว
คลิปวิดีโอความรู้เพิ่มเติม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น